หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

"จิตสำนึก" (consciousness)มาจากไหน?

 “จิตสำนึก” มาจากที่ไหน?

Where Does Consciousness Come From? | Unveiled

2 ต.ค. 2019

       - จุดเริ่มต้น ของ จิตสำนึก คือหนึ่งในความลึกลับยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้ถูกคลี่คลายของวิทยาศาสตร์. เราทั้งหมดรู้ว่าเรามีชีวิต, มีสำนึกและประสบการณ์ต่อโลกนี้...แต่อะไรที่แน่ชัดว่าคือ แก่นสารของชีวิต(essence of life)? ที่ไหนคือ อารมณ์รับรู้พื้นฐานเริ่มต้น(the fundamental feeling) ของ “การมีอยู่(being)” มาจากไหน? ในวีดิโอนี้, Unveiled มองไปที่การประชันถกเถียงทั้งหลายในเชิงวิทยาศาสตร์และเชิงปรัชญา(the scientific and philosophical debates)รายรอบ จิตสำนึก นี้, เพื่อค้นหา(find out)ว่า, อย่างไร หรือ ทำไม(how and why)เราประสบรับรู้(experience)ต่อ สภาวะความเป็นจริง(reality)ในหนทางอย่างที่เราทำ.....นี่คือ Unveiled, กำลังให้คุณด้วยคำตอบอันเหลือเชื่อต่อคำถามทั้งหลายอันพิเศษผิดธรรมดา.

“จิตสำนึก(consciousness)” มาจากที่ไหน?

         จุดเริ่มต้นของ จิตสำนึก ของเรา(the origin of our consciousness)ได้นับหลายศตวรรษแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิทยาศาสตร์(one of the greatest mysteries in science).

         เรามักจะพิจารณาตัวเราเอง(ourselves)ว่า “แตกต่าง(แตกต่าง)”จากสัตว์อื่นทั้งหลาย(other animals)ในวิธีทั้งหลายที่เรา คิด(think), ประดิษฐ์(invent), ใช้เหตุผล(rationalize), และมีสติสัมปชัญญะ(self-aware1)...แต่การประชันถกเถียงทั้งหลาย(debates)ยังคงดุเดือด(rages)อยู่บนอะไรที่จริงๆแล้ว ความรู้สึกของความ “เป็นตัวเรา”(feeling of “being us”)คือ(really is).

         1 https://www.facebook.com/KUNGKOBSUNG/posts/753028011774982/

ขอบคุณต่อ นวัตกรรมทั้งหลาย(innovations)ใน ประสาทวิทยาศาสตร์(neuroscience), อย่างไรก็ดี, เราได้ใกล้มากขึ้นกว่าที่เคยในการเข้าใจมัน(closer than to understanding it).

นี่คือรายการ Unveiled และวันนี้เรากำลังตอบคำถามอันไม่ธรรมดายิ่งนั้น(the extraordinary question): จิตสำนึก(consciousness) มาจากที่ไหนหรือ?

คุณคือ ปีศาจ หรือ ความจริง?(fiend or fact)

คุณเป็นแปลกประหลาดอย่างสม่ำเสมอตลอดหรือ?(constantly curious)

แล้วทำไม subscribe กับ Unveiled เพื่อclipsอีกมากที่เหมือนๆกับอันนี้ล่ะ?

และเคาะกระดิ่ง(ring the bell)เพื่อเนื้อหาที่หลงใหลมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นสิ!

การให้คำนิยามชัดเจน(defining)ของ จิตสำนึก(consciousness)นั้น ไม่ใช่งานง่ายเลย(not an easy task).

บางคนพิจารณาวินิจฉัยมัน(consider it)ว่าเป็นแค่ประสบการณ์รับรู้ของความรู้สึก(simply the experience of feeling)ขณะที่(while), สำหรับผู้อื่นทั้งหลาย, มันเป็นทั้งหมดที่จะทำกับการมีการสัมผัสรู้ของตนเอง(it’s all to do with having a sense of sense) หรือ สัมผัสรู้ของ อัตตา/วิญญาณ(sense of soul).

นักปรัชญา เน็ด บล็อก(Ned Block)แย้งว่า(argued that)ที่จริงแล้ว, มีสองแบบของจิตสำนึก(actually two types of consciousness).

จิตสำนึกแบบ-P (P-consciousness) ครอบคลุม(covers)ประสบการณ์รับรู้แบบดิบ(raw experiences)ทั้งหลาย เช่น การตรวจพบ ในเรื่อง(the detection of) เสียง(sounds), สัมผัส(touch), และ การตระหนักรู้ ของเราในเรื่อง(our perception of) สี(color) - ซึ่งคือ ความสัมผัสรู้อย่างอิสระ(independent sensation)รู้จักกันว่า ควอเลีย(qualia2), ซึ่ง ก่อรูปด้วยกัน(which together form)

     2 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2

เป็นประสบการณ์รับรู้ชีวิตชั่วขณะหนึ่งทั้งหลายของเรา(our moment-to-moment life experiences).

         จิตสำนึก แบบ-A(A-consciousness), ถึงแม้ว่า, เกี่ยวโยงต่อพฤติกรรมทั้งหลายที่ซับซ้อนกว่า(related to more complex behaviors)อย่างเช่น เหตุผลเชิงตรรกะ(logical reasoning)และ ความทรงจำ(memory) - ซึ่งอีกครั้ง, แต่งทรง(shape)ชีวิตทั้งหลายในแต่ละวันของเรา(our day-to-day lives).

         ตั้งแต่สมัย เรเน่ เดการ์ตสิ์(René Descartes3), ได้ยังมีสองสำนักด้วยเช่นกัน(have also two school)ของความคิดในเรื่อง จิตสำนึกนี้อาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่(on exactly where consciousness resides) - หรืออีกอย่างหนึ่งที่รู้จักกันว่า “ปัญหาเรื่อง จิต-กาย”(the “mind-body problem”).

         ไม่ว่าจะในโลกของกายภาพ(in the physical world), ต่อสายเข้าไป(และแต่งรูปทรงโดย-and shaped by)สมองของเรา(our brains), หรือในอีกอาณาจักรอื่นที่ไร้-กายภาพ(or in another non-physical realm)หรือ มิติ(dimension)ที่เราด้วยวิธีบางอย่างได้สามารถเข้าถึง(able to access).

พื้นฐานความคิดของ จิตสำนึก(the basic idea of consciousness)ได้มีมาตลอด(has been around)ตั้งแต่อย่างน้อยที่สุดก็ยุคกรีกโบราณ(Ancient Greek)และสมัยอริสโตเติ้ล(Aristotle), กระนั้น.....

และขณะที่ วิทยาศาสตร์ดั้งเดิม(traditional science)มีบางครั้งเบือนหน้าหนี(shied away)จากหัวข้อนี้ผ่านมาโดยตลอดของประวัติศาสตร์(throughout history), เพราะว่ามันคือประสบการณ์รับรู้เชิงอัตวิสัย3เกินไป(such a subjective experience), อย่างชัดเจนเลยว่าได้อาเจียน(throw up)

         3 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2

คำถามมหึมาทั้งหลาย(huge questions)ที่จำเป็นต้องการคำตอบ(need answers).

         ปัญหาของ จิตสำนึก(the problem with consciousness)คือที่ ประสบบการณ์รับรู้(experience)เป็นแก่นสำคัญต่อมัน(is essential to it), แต่ ประสบการณ์รับรู้(experience)สามารถได้แต่เพียงถูกรู้ได้จากภายใน(can only be known from within), และเช่นนั้นเองที่เราไม่สามารถแน่ใจได้(be sure)ว่าสัตว์ทั้งหลายอะไรที่ครอบครองมัน(what animals possess it) – หรือกระทั่งว่า(or even if)ถ้ามนุษย์ทั้งหลายครอบครองมัน(every human being possesses it)ในหนทางเดียวกัน(in the same way).

         ตัวอย่างเช่น, ถึงแม้ว่าต้นไม้ทั้งหลายถูกคิดว่าส่วนใหญ่เป็นเช่นวัตถุอยู่กับที่(trees are as mostly static objects)ซึ่งมีชีวิตอยู่และตาย(live and die)ค่อนข้างจะถูกคาดการณ์ได้(quite predictably, ในบางหนทางทั้งหลาย(in some ways)พวกเขาก็ที่จริงแล้วก็เป็นอยู่อย่างซับซ้อนและอย่างฉลาด(actually complex and intelligent beings).

         พวกเขารู้ที่จะสร้างพันธมิตรทั้งหลายซึ่งกันและกัน(form alliances with each other), เลี้ยงดูอบรม(nurture)ต้นอ่อนอื่น, เตือนถึงภัยที่กำลังเข้ามาหา(warn other trees of approaching danger), และปรับตัวรับมือต่อการรุกรานทั้งหลาย(adapt to threats).

         แล้วพวกเขา, มีบางอย่างของ จิตสำนึก(some kind of consciousness)ที่มนุษย์อาจจะไม่อาจเข้าใจได้(couldn’t possibly comprehend)ด้วยไหม?

         และนั่นหมายถึงว่า, ทุกสิ่งที่มีชีวิตดำรงอยู่บนบางอย่างของขนาดหนึ่งของจิตสำนึกไหม(some kind of scale of consciousness)?

         มีนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย(scientists)ที่งานของพวกเขา(whose job)คือการที่จะค้นหาถึง จิตสำนึก(to search for consciousness).

         พวกเขามองหาประสาทสัมพันธ์ ของ จิตสำนึก(neuronal correlated of consciousness4)

         4 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C

(หรือ NCC), ซึ่งเป็นระบบกลไกทั้งหลายที่ต่ำที่สุด(the minimum mechanisms)ที่สมองต้องแสดงให้เห็น(the brain has to demonstrate)เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์รับรู้ทางสำนึก(to create a conscious experience).

ตัวอย่างเช่น, ถ้าคุณกุมมือกับใครบางคน(hold hands with someone), จำนวนหนึ่งของประสาททั้งหลาย(a certain number of neurons)ต้องยิง(have to fire) หรือเส้นประสาททั้งหลาย(nerves)ต้องสั่นไหว(have to vibrate)ก่อนที่การกระทำนั้นกลายมาเป็นบางอย่างที่เราได้รู้สึกถึง(before we’re aware of – เจตสิก/ผัสสะ ไปสู่ เวทนา สัญญา - ผู้แปล).

เรื่องนี้ได้นำนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายบางราย(led some scientists)ไปคิดว่า กุญแจสู่ จิตสำนึก(key to consciousness)อาศัยอยู่ใน(resides in)คลอสตรัม(claustrum5), แผ่นของ

         5 https://www.netinbag.com/th/physiology/what-is-the-claustrum.html

เซลล์ประสาท(a sheet of neurons)ที่นอนพักอยู่ใต้เยื่อหุ้มสมอง(resting beneath brain’s cortex).

         * https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C

         (จาก “วิกิพีเดีย”...จิตใจตามทัศนะตะวันตก

จิตปรัชญา (philosophy of mind) ศึกษาประเด็นต่าง ๆ เช่น เรื่องความรู้สึกตัว (consciousness) และปัญหาจิต-กาย (mind-body problem) ความสัมพันธ์ระหว่างสมองกับจิตใจเป็นเรื่องท้ายทายทั้งในหลักปรัชญาและหลักวิทยาศาสตร์ เพราะอธิบายได้ยากว่า การทำงานทางจิตใจ เช่นความคิดหรืออารมณ์ สามารถเกิดในโครงสร้างทางกายภาพเช่นเซลล์ประสาทและไซแนปส์ หรือแม้แต่กลไกทางกายภาพอื่น ๆ ได้อย่างไร นักปรัชญาชาวเยอรมันก็อทฟรีท ไลบ์นิซ (Gottfried Leibniz ค.ศ. 1646-1716) ได้กล่าวถึงปัญหานี้ในคำอุปมาที่เรียกว่า Leibniz's Mill (โรงสีของไลบ์นิซ)

ใคร ๆ ก็จะต้องยอมรับว่า การรับรู้และสิ่งที่อาศัยมันเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้อาศัยหลักกลศาสตร์ คือโดยรูปและการเคลื่อนไหว

เมื่อจินตนาการว่า มีเครื่องยนตร์ที่วิธีการสร้างมันสามารถทำให้มันคิดได้ รับรู้ทางสัมผัสได้ และเกิดการรับรู้ได้ ก็อาจจินตนาการให้มันใหญ่ขึ้นโดยมีสัดส่วนเหมือนเดิม เพื่อให้เดินเข้าไปดูได้ เหมือนกับเดินเข้าไปในโรงสีลม ถ้าคิดได้เช่นนี้ เมื่อเดินเข้าไปตรวจดูมัน ก็จะพบเพียงแค่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ขับกันและกัน แต่ก็จะไม่พบอะไร ๆ ที่สามารถอธิบายการรับรู้ [ว่าเกิดอย่างไร] ได้— ก็อทฟรีท ไลบ์นิซ - ในผลงาน Monadology (1714)[250]

ความสงสัยว่าจะมีคำอธิบายเชิงกลศาสตร์เกี่ยวกับความคิดได้หรือไม่ ได้ผลักดันให้นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเรอเน เดการ์ต บวกกับนักปรัชญาอื่น ๆ ให้มีแนวคิดแบบทวินิยม (dualism) คือความเชื่อว่า จิตใจในเป็นอิสระจากสมองโดยระดับหนึ่ง[251] แต่ก็มีเหตุผลที่ดีเป็นฝ่ายคัดค้านมาตลอด

มีหลักฐานเชิงประสบการณ์ที่ชัดเจนว่า การจัดแจงทางกายภาพ (เช่นด้วยยา) หรือการบาดเจ็บที่สมอง (เช่นมีรอยโรค) มีผลต่อจิตใจอย่างมีกำลังและลึกซึ้ง[252][253] ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 กรณีของนายฟิเนียส์ พี. เกจ ผู้เป็นคนงานทางรถไฟที่ได้รับบาดเจ็บจากแท่งเหล็กขนาดล่ำ ๆ ที่พุ่งทะลุสมองของเขา ได้ทำให้ทั้งนักวิจัยและคนทั่วไปเชื่อว่า การทำงานทางประชานนั้นเกิดเฉพาะในสมอง[249]

ต่อมาโดยตามแนวคิดนี้ หลักฐานเชิงประสบการณ์จำนวนมากที่แสดงว่า การทำงานของสมองสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการทำงานทางใจ ทำให้นักประสาทวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาปัจจุบันโดยมากเป็นนักวัตถุนิยม คือเชื่อว่า ปรากฏการณ์ทางใจจริง ๆ แล้วเป็นผลของ หรือสามารถลดทอนจนเหลือเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางกายภาพ[254]

          ....

                    พุทธศาสนาเถรวาท[แก้]

คัมภีร์พุทธศาสนาได้กล่าวถึงสมองไว้หลายเรื่องรวมทั้ง

·       คัมภีร์สมันตปาสาทิกาซึ่งเป็นอรรถกถาของพระวินัยปิฎก กล่าวถึงความเป็นมาของหมอชีวกโกมารภัจจ์ผู้เป็นแพทย์ประจำของพระพุทธเจ้าและพระเจ้าพิมพิสารไว้ว่า ได้รักษาเศรษฐีชาวพระนครราชคฤห์ผู้ป่วยปวดศีรษะอยู่ 7 ปีโดยแพทย์อื่น ๆ ไม่สามารถรักษาได้ และรักษาโดย "เปิดรอยประสานกะโหลกศีรษะ นำสัตว์มีชีวิตออกมาสองตัว" แล้วให้นอนพัก 3 สัปดาห์ ได้ทรัพย์จากเศรษฐี 100,000 กหาปณะ และให้เศรษฐีทูลถวายทรัพย์แด่พระเจ้าพิมพิสารอีก 100,000 กหาปณะ[266]

·    คัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งจัดเป็นคัมภีร์หลักในเรื่องการปฏิบัติในพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงสมองในส่วนสมาธินิเทศ (อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ) กายคตาสติ เพื่อการพิจารณาให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลไว้ว่า "คำว่า มตฺถลุงฺคํ - มันในสมอง ได้แก่ เนื้อเยื่ออันตั้งอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ มันในสมองนั้น โดยสี ขาวดังสีดอกเห็ด แม้จะกล่าวว่า สีดังนมสดที่ไม่สดแล้ว แต่ยังไม่ถึงเป็นนมส้ม ดังนี้ก็ควร โดยสัณฐาน มีสัณฐานตามโอกาส [ที่ตั้งอยู่] โดยทิศ เกิดในทิศเบื้องบน โดยโอกาส อาศัยแนวประสาน ๔ แนว ตั้งรวมกันอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ เหมือนก้อนแป้ง ๔ ก้อน ที่คนวางรวมกันอยู่ โดยตัดตอน กำหนดตัดด้วยพื้นด้านในกะโหลกศีรษะและด้วยส่วนแห่งมันสมอง นี้เป็นสภาคปริจเฉท ส่วนวิสภาคปริจเฉท ก็เป็นเช่นเดียวกับผมนั่นแล"

ภาคส่วนสำคัญนี้(this vital region)เชื่อมต่อ(connects)กับทุกส่วนอื่นของเยื่อหุ้มสมอง(to every other part of the cortex)และมีประสิทธิผล(effectively) “เปิดสว่าง(light up)” เมื่อใดก็ตามที่เกือบจะสิ่งใดได้ “บังเกิดขึ้น(happens)”.

ในบางครั้งมันถูกคิดว่า(it’s sometimes thought of)เป็นบางสิ่ง(something)เหมือน วาทยกร(a conductor)สำหรับสมองของมนุษย์และร่างกาย(for the human brain and body), เปลี่ยนรูปแบบทั้งหลาย(patterns)และลำดับการณ์ทั้งหลาย(sequences)เข้าไปในสิ่งทั้งหลายที่เราประสบรับรู้(into things we experience), รู้สึก(feel - เวทนา)และ รู้(know สัญญา).

แต่ก็ไม่อย่างแน่นอนเลยว่า(by no means), สิ่งเป็นที่ได้ยอมรับอย่างเป็นสากลในเจตคติ/มุมมองนี้(universally accepted)กระนั้น.

ข้อถกเถียงอื่นอีกคือ, จิตสำนึกนั้น(that consciousness)ที่จริงแล้วถูกสร้างสรรค์ขึ้น(is actually created)โดยภาคส่วนต่างๆหลายเท่านักของสมอง(actually created by multiple regions of the brain)ที่ทำงานร่วมด้วยกัน(that work together).

ตัวอย่างเช่น, ในปี 2016, กลุ่มทำงานที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญ ไมเคิล ด. ฟอกซ์(Michael D. Fox)ค้นพบว่า(found that)สิ่งเล็ก, กว้าง 2 มิลลิเมตร(a small, two-millimetre-wide point)เป็นจุดอยู่ที่ ก้านสมอง(brainstem)ที่เชื่อมต่อกับ(connected to)อีกสองอื่น, ที่เป็นพื้นที่สำคัญใหญ่หลวงในเยื่อหุ้มสมอง(two other, hugely important areas in the cortex); ในส่วนแตกต่างทั้งหลายของสมอง(in different parts of the brain).

ทั้งสองภาคส่วนบ้านของเส้นประสาททั้งหลายนี้(both regions house neurons)ถูกเรียกว่าเซลล์ประสาท ฟอน อีโคโนโม(Von Economo neurons6เซลล์ประสาทชั้นพิเศษ), ถูกคิดว่าเป็น

         6 https://th.youthministryinitiative.org/von-economo-neurons-what-are-they-where-are-they-located-363

แก่นสำคัญสำหรับ จิตสำนึก(to be essential foe consciousness), และ ฟอกซ์(Fox)และกลุ่มทำงานของเขา(his team)ค้นพบว่า(found that), ในบางกรณี(in some cases), เป็นคือภาคส่วนเหล่านี้(these regions)ที่ถูกทำให้ยุ่งเหยิง(were disrupted)เมื่อผู้ป่วย(a patient)เข้าสู่ภาวะการเป็นเยี่ยงผัก(enters a vegetative state).

อย่างชัดเจน(clearly), ถึงกระนั้นก็ตาม(though), ไม่ว่ามันจะเป็น การผสมผสาน ของ ภาคส่วนทั้งหมดของเซลล์ประสาททั้งหลายที่แตกต่างกัน(an amalgamation of all different neuron-regions) หรือว่ามันเป็น การกำหนด/ตัดสินยุติเป็นที่สัมบูรณ์สุด โดย คลอสตรัม(ultimately determined by the Claustrum7), ทัศนคติทางวิทยาศาสตร์(the scientific stance)ก็พยายามที่จะตั้งเสียงกำหนด จิตสำนึก(to pitch consciousness)ว่าเป็นเช่นผลผลิตหนึ่งของสมอง(a product of the brain).

7 https://hmong.in.th/wiki/Claustrum

ไม่ว่านั่นคือความจริงหรือไม่(whether that’s true or not), ถ้ามนุษยชาติ(humanity)ได้จัดการที่มัดจิตสำนึกเอาไว้อยู่กับส่วนจำเพาะหรือภาคส่วนของร่างกายของเราทั้งหลาย(does manage to tie down consciousness to specific part or region of our bodies), แล้วเราก็สามารถทดสอบทางทฤษฎีได้อย่างแน่ชัด(could then theoretically test exactly)ว่ามันคืออะไร(what it is): โดยการให้มันกับสิ่งปัญญาประดิษฐ์(give it to artificial beings).

ถ้าเราสามารถกระตุ้นจิตเติมเต็มหุ่นยนต์ทั้งหลายด้วยจิตสำนึก(could imbue robots with consciousness) - จิตสำนึกของแท้(a genuine consciousness) - เช่นนั้นแล้วเราก็จะได้พิสูจน์ว่า(we will have proven that)มันมีอยู่แท้จริงในโลกทางกายภาพ(it does indeed exist in the physical world).

จนถึงตอนนี้, กระนั้น, แม้กระทั่งจุดหมายสูงสุดของเรา(our loftiest aim)หรือยิ่งไปกว่ายังการเขียนชุดคำสั่งอัลกอริธึ่มนั่น(more towards programming an algorithm6 that), ในสาระสำคัญ(in essence), บรรจุจิตวิญญาณ(a soul – อัตตา/อาตมัน); หรือปรากฏว่าเป็น มีสติสำนึก(appear to be conscious).

แต่มีการเห็นด้วยเต็มไปหมด(plenty agree)ว่า นี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน(this isn’t same thing…)...และเต็มยิ่งไปกว่าคือโต้แย้งว่าจิตสำนึกเยี่ยงหุ่นยนต์(plenty more argue that robotic consciousness)ไม่มีวันที่จะสามารถพิสูจน์ได้(could never even be proven).

หนึ่งความโต้แย้งที่โดดเด่นต่อพวกเขาคือ(one notable argument against them is) “ห้อง-จีน”(the “Chinese Room”, การทดลองความคิดที่ถูกเสนอโดย จอห์น ซีเริล(thought experiment proposed by John Searle).

อย่างง่ายๆ(simplified), มันก็เป็นไปแบบนี้(it goes like this): นักบรรยายชาวอังกฤษผู้หนึ่งอยู่ในห้องที่ถูกล็อคปิดไว้(an English speaker is in a locked room)พร้อมด้วยชุดคำแนะนำทั้งหลายหนึ่งที่ไม่รู้จักในภาษาจีน(with a set of unknown instructions in Chinese)และสัญลักษณ์แบบจีนอีกกลุ่มหนึ่ง(a batch of Chinese symbols)ที่จะเลือกเอามาได้(to choose from).

นักบรรยายชาวอังกฤษนั้น(that English speaker)ก็เลยผ่านส่งคำถามหนึ่ง(เป็นภาษาจีน)ที่พวกเขาจำเป็นต้องสร้างคำตอบนั้น(need to construct an answer to)ออกมา(เป็นภาษาจีนอีกด้วยเช่นกัน).

การอุปโลกน์ของซีเริล(Searle’s set up)แสดงให้เห็นว่า, ในที่สุดแล้ว(eventually), โดยการประยุกต์จากคำสอนที่ชัดเจนถูกต้องแล้ว(by applying the precise instructions), นักบรรยายชาวอังกฤษ(the English speaker)ก็สามารถที่จะสร้างการเขียนภาษาจีนที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้(would be able to produce Chinese writing)(และคำตอบที่ถูกต้องต่อคำถามนั้น)โดยปราศจากความเข้าใจถึงมันเลยแต่อย่างใด(without understanding any of it).

ทั้งหมดของที่ซึ่งจะ - อ้างอิงจากซีเริล(accord to Searle) – เป็นที่ไม่แตกต่างจากถ้าเครื่องจักรกลได้ถูกอ้างว่ามีจิตสำนึก(no different to if a machine room ever claimed to have consciousness).

มันแท้จริงจะเป็นเพียงแค่ได้ทำตามคำแนะนำทั้งหลายที่ชัดเจนเที่ยงตรงมาก(ชุดคำสั่ง/โปรแกรม)(would actually only ever be following a very precise instructions(a program)ในการกระทำหรือประพฤติอย่างไร(on how to act or behave)ที่จะทำมัน(to make it)ดูเหมือนเป็นหนทางนี้(seem this way).

สิ่งสำคัญของ คลอสตรัม(the importance of Claustrum), สิ่งที่มีความหมายของเส้นประสาท ฟอน อีโคโนโม(the significance of Von Economo neurons)และการโต้เถียง(debate)กับที่ว่าได้หรือไม่ที่ จิตสำนึกแท้จริง(a true consciousness)สามารถถูกวิศวกรรมเชิงระดิษฐ์(can be artificially engineered)เป็นที่มีเหตุผลทั้งหมด(are all valid)ถ้าคุณลงนามต่อครึ่งหนึ่งของปัญหาเรื่อง “จิต-กาย”นั้น(subscribe to one half of the “mind-body” problem), กระนั้น - ว่าจิตสำนึก(consciousness)ดำรงอยู่(exists)อยู่ในโลกของร่างกายภาพ(in the physical world).

ถ้าเราเข้าใจมันว่าเป็นเช่น โครงสร้างไร้-กายภาพ(a non-physical construct), แล้วไม่มีอะไร(then nothing)(ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์(robots), มนุษย์(humans), หรืออะไรอื่นใด(or anything else)สามารถครอบครองมันได้ในความรู้สึกทั่วไป(could ever possess it in typical sense).

มันอาจจะเป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่าจะพูดว่าเราเข้าถึงมัน(perhaps be more accurate to say that we access it). หรือใช้มัน(or use it).

เรเน่ เดสการ์ตสิ์(René Descartes8) เป็นนักปรัชญาแถวหน้าที่มักถูกโต้แย้งได้อยู่เสมอ(was arguably the foremost philosopher)ในการที่จัดวางลงไปว่า(to posit that)ว่าจิตสำนึก(consciousness)นั้นไม่ได้มีอยู่ในโลกกายภาพ(doesn’t exist in the physical world) - ชี้แนะว่าเรานั้นสามารถทดแทนด้วยการเข้าถึงมันได้ผ่านต่อไพเนียลในสมอง(instead able to access it through the pineal gland in the brain).

ที่จริงแล้ว(in fact), เหตุผลของเดสการ์ตสิ์(Descartes’s reasoning), ปริศนายากจะแก้ได้นี้(the conundrum)สามารถมารถที่จะอย่างที่สุดถูกเปิดหัวของมัน(be totally turned on its head); เขาที่แน่ใจว่าเขามีจิตใจ(a mind)แต่ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเขามีร่างกาย(but couldn’t be sure he had a body).

สำหรับเขา(for him), ร่างกายนั้น(the body)สามารถแทบที่จะเป็นผลผลิตของฝัน(couls merely be the product of dream) หรือ มายา(or illusion).

และเดสการ์ตสิ์(Descartes)ไม่ใช่เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เสนอต่อมไพเนียลมีพลังลี้ลับอันทรงประสิทธิผล(to propose the pineal gland)มี(has effectively mystical powers)อีกด้วย.

ส่วนเล็กๆมากแห่งสมองทั้งหลายทั้งหมดของเรา(a very small part of our overall brains)ถูกเชื่อมโยงกับ(was linked with) -ในท่ามกลางสิ่งอื่นทั้งหลาย(among other things) – การควบคุมบังคับของการนอน(the regulation of sleep), ที่อื่นๆ(elsewhere)มันถูกตีตราประทับว่าคือ “ตาที่สาม”(the third eye), บอกกันว่าเป็นแก่นแท้ที่จะทำการไขเปิดออก(be essential to unlocking)เป็นประสบการณ์ของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง(the real human experience); และได้คิดกันกระทั่งถึงเป็นความสามารถของการที่จะมองเห็น “โลกจริง”(true world), และการค้นพบการติดต่อที่ลึกยิ่งกว่ากับพระเจ้า(discovering a deeper connection with God) - โดยผู้ที่เชื่อเป็นพิเศษ(who particular believe)ในพลังของมัน(in its power).

หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์(the scientific evidence)สำหรับการอ้างที่สูงส่งเช่นนั้น(for such lofty claims)กำลังเป็นที่ขาดแคลน(is lacking), แต่สถานที่ตั้งของต่อมไพเนียล(the Pineal gland’s place)ในมุมแน่ชัดทั้งหลายของหลักปรัชญาได้ถูกจัดขึ้น(in certain corners of philosophy is set).

สำหรับนักปรัชญาทั้งหลาย(for philosophers)และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย(scientists), กระนั้น, อะไรคือจิตสำนึก(what is consciousness)และที่ไหนที่มันมาจาก(where it comes from)ต่างก็ยังคงเป็นสองหัวข้อที่ยกขึ้นมาอย่างมากยิ่งสำหรับการโต้วาที(are still two topics very much up for debate)!

ความเข้าใจของเรา(our understanding)ได้กำลังประบปรุงให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ(is steadily improving), และเทคโนโลยีทั้งหลายของเรา(our technologies)ก็กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว(are rapidly progressing), ดังนั้นเราสามารถในสักวันหนึ่งที่จะไปถึงจุด(we could one day reach the point)ที่ซึ่งจิตสำนึก(consciousness)อย่างเป็นจริงที่จะปรากฏแน่ชัดได้(identifiable), วัดขนาดได้(measurable), เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้จริงๆ(truly knowable thing).

สำหรับบางราย(for some), คำตอบนี้อาจจะตามจริงแล้วมาจากฟิสิกส์ควอนตัม(quantum physics)(เจาะลึกลงเข้าไปในชิ้นเศษเล็กจิ๋วที่สุดของสิ่งมีชีวิต – drilling down into the tiniest fragments of existence);อสำหรับคนอื่นทั้งหลาย(for others), เรารู้แต่เพียงมากยิ่งขึ้นคนเท่านั้นเกี่ยวกับ(only know more about)หรือจิตใจทั้งหลายของเราเอง(or own minds)เมื่อเราทำสำเนาซ้ำพวกเขาเข้าไปในหุ่นยนต์ทั้งหลาย(replicate them into robots); และแล้วก็มีที่หนุนหลังแบบเดวการ์ตสิ์เหล่านั้น(those backing Descartes), เขวี้ยงโยนสำนึกของตัวตน(pitching our sense of self)เป็นเช่นสิ่งนามธรรมทั้งเพ(a wholly abstract thing).

มันเป็นงานเชิงวิทยาศาสตร์(scientific), ปรัชญา(philosophical)และจิตวิญญาณ(spiritual)ที่ทำอยู่อย่างก้าวหน้า(work in progress), แต่นั่นคือทั้งหมดที่เรารู้(that’s all we know)เกี่ยวกับว่า จิตสำนึก มาจากไหน(where consciousness comes from).

คุณคิดว่าอย่างไรหรือ? มีอะไรอื่นที่เราพลาดไปไหม? ให้เรารู้นั้นด้วยคำติชม(comments)ที่ด้านล้างของคลิปนี้. ตรวจดูคลิปอื่นทั้งหลายของเราและกดกระดิ่งและกดsubscribeเพื่อที่จะได้ไม่พลาดเนื้อหาใหม่อีกของเรา.

 https://youtu.be/W9m807X0404

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น