“จิตสำนึก” มาจากที่ไหน?
Where
Does Consciousness Come From? | Unveiled
2 ต.ค. 2019
- จุดเริ่มต้น
ของ จิตสำนึก คือหนึ่งในความลึกลับยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้ถูกคลี่คลายของวิทยาศาสตร์.
เราทั้งหมดรู้ว่าเรามีชีวิต, มีสำนึกและประสบการณ์ต่อโลกนี้...แต่อะไรที่แน่ชัดว่าคือ
แก่นสารของชีวิต(essence
of life)? ที่ไหนคือ อารมณ์รับรู้พื้นฐานเริ่มต้น(the
fundamental feeling) ของ “การมีอยู่(being)”
มาจากไหน? ในวีดิโอนี้, Unveiled มองไปที่การประชันถกเถียงทั้งหลายในเชิงวิทยาศาสตร์และเชิงปรัชญา(the
scientific and philosophical debates)รายรอบ จิตสำนึก นี้,
เพื่อค้นหา(find out)ว่า, อย่างไร หรือ ทำไม(how and
why)เราประสบรับรู้(experience)ต่อ สภาวะความเป็นจริง(reality)ในหนทางอย่างที่เราทำ.....นี่คือ Unveiled,
กำลังให้คุณด้วยคำตอบอันเหลือเชื่อต่อคำถามทั้งหลายอันพิเศษผิดธรรมดา.
“จิตสำนึก(consciousness)” มาจากที่ไหน?
จุดเริ่มต้นของ จิตสำนึก
ของเรา(the origin of our consciousness)ได้นับหลายศตวรรษแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิทยาศาสตร์(one
of the greatest mysteries in science).
เรามักจะพิจารณาตัวเราเอง(ourselves)ว่า “แตกต่าง(แตกต่าง)”จากสัตว์อื่นทั้งหลาย(other animals)ในวิธีทั้งหลายที่เรา คิด(think), ประดิษฐ์(invent), ใช้เหตุผล(rationalize), และมีสติสัมปชัญญะ(self-aware1)...แต่การประชันถกเถียงทั้งหลาย(debates)ยังคงดุเดือด(rages)อยู่บนอะไรที่จริงๆแล้ว ความรู้สึกของความ
“เป็นตัวเรา”(feeling of “being us”)คือ(really is).
1 https://www.facebook.com/KUNGKOBSUNG/posts/753028011774982/
ขอบคุณต่อ
นวัตกรรมทั้งหลาย(innovations)ใน ประสาทวิทยาศาสตร์(neuroscience), อย่างไรก็ดี,
เราได้ใกล้มากขึ้นกว่าที่เคยในการเข้าใจมัน(closer than to understanding
it).
นี่คือรายการ Unveiled และวันนี้เรากำลังตอบคำถามอันไม่ธรรมดายิ่งนั้น(the extraordinary
question): จิตสำนึก(consciousness) มาจากที่ไหนหรือ?
คุณคือ
ปีศาจ หรือ ความจริง?(fiend
or fact)
คุณเป็นแปลกประหลาดอย่างสม่ำเสมอตลอดหรือ?(constantly
curious)
แล้วทำไม
subscribe
กับ Unveiled เพื่อclipsอีกมากที่เหมือนๆกับอันนี้ล่ะ?
และเคาะกระดิ่ง(ring the bell)เพื่อเนื้อหาที่หลงใหลมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นสิ!
การให้คำนิยามชัดเจน(defining)ของ จิตสำนึก(consciousness)นั้น ไม่ใช่งานง่ายเลย(not
an easy task).
บางคนพิจารณาวินิจฉัยมัน(consider it)ว่าเป็นแค่ประสบการณ์รับรู้ของความรู้สึก(simply the experience
of feeling)ขณะที่(while),
สำหรับผู้อื่นทั้งหลาย, มันเป็นทั้งหมดที่จะทำกับการมีการสัมผัสรู้ของตนเอง(it’s
all to do with having a sense of sense) หรือ
สัมผัสรู้ของ อัตตา/วิญญาณ(sense of soul).
นักปรัชญา
เน็ด บล็อก(Ned
Block)แย้งว่า(argued that)ที่จริงแล้ว,
มีสองแบบของจิตสำนึก(actually two types of consciousness).
จิตสำนึกแบบ-P (P-consciousness) ครอบคลุม(covers)ประสบการณ์รับรู้แบบดิบ(raw experiences)ทั้งหลาย
เช่น การตรวจพบ ในเรื่อง(the detection of) เสียง(sounds), สัมผัส(touch), และ การตระหนักรู้
ของเราในเรื่อง(our perception of) สี(color) - ซึ่งคือ ความสัมผัสรู้อย่างอิสระ(independent sensation)รู้จักกันว่า ควอเลีย(qualia2),
ซึ่ง ก่อรูปด้วยกัน(which together form)
2 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2
เป็นประสบการณ์รับรู้ชีวิตชั่วขณะหนึ่งทั้งหลายของเรา(our
moment-to-moment life experiences).
จิตสำนึก แบบ-A(A-consciousness),
ถึงแม้ว่า, เกี่ยวโยงต่อพฤติกรรมทั้งหลายที่ซับซ้อนกว่า(related to more
complex behaviors)อย่างเช่น เหตุผลเชิงตรรกะ(logical
reasoning)และ ความทรงจำ(memory) -
ซึ่งอีกครั้ง, แต่งทรง(shape)ชีวิตทั้งหลายในแต่ละวันของเรา(our
day-to-day lives).
ตั้งแต่สมัย เรเน่ เดการ์ตสิ์(René Descartes3),
ได้ยังมีสองสำนักด้วยเช่นกัน(have also two school)ของความคิดในเรื่อง
จิตสำนึกนี้อาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่(on exactly where consciousness
resides) - หรืออีกอย่างหนึ่งที่รู้จักกันว่า “ปัญหาเรื่อง
จิต-กาย”(the “mind-body problem”).
ไม่ว่าจะในโลกของกายภาพ(in
the physical world), ต่อสายเข้าไป(และแต่งรูปทรงโดย-and
shaped by)สมองของเรา(our brains),
หรือในอีกอาณาจักรอื่นที่ไร้-กายภาพ(or in another non-physical
realm)หรือ มิติ(dimension)ที่เราด้วยวิธีบางอย่างได้สามารถเข้าถึง(able
to access).
พื้นฐานความคิดของ
จิตสำนึก(the
basic idea of consciousness)ได้มีมาตลอด(has been around)ตั้งแต่อย่างน้อยที่สุดก็ยุคกรีกโบราณ(Ancient Greek)และสมัยอริสโตเติ้ล(Aristotle),
กระนั้น.....
และขณะที่
วิทยาศาสตร์ดั้งเดิม(traditional science)มีบางครั้งเบือนหน้าหนี(shied
away)จากหัวข้อนี้ผ่านมาโดยตลอดของประวัติศาสตร์(throughout
history), เพราะว่ามันคือประสบการณ์รับรู้เชิงอัตวิสัย3เกินไป(such a
subjective experience), อย่างชัดเจนเลยว่าได้อาเจียน(throw
up)
คำถามมหึมาทั้งหลาย(huge questions)ที่จำเป็นต้องการคำตอบ(need
answers).
ปัญหาของ
จิตสำนึก(the
problem with consciousness)คือที่ ประสบบการณ์รับรู้(experience)เป็นแก่นสำคัญต่อมัน(is essential to it), แต่ ประสบการณ์รับรู้(experience)สามารถได้แต่เพียงถูกรู้ได้จากภายใน(can only be known
from within), และเช่นนั้นเองที่เราไม่สามารถแน่ใจได้(be
sure)ว่าสัตว์ทั้งหลายอะไรที่ครอบครองมัน(what animals
possess it) – หรือกระทั่งว่า(or even if)ถ้ามนุษย์ทั้งหลายครอบครองมัน(every
human being possesses it)ในหนทางเดียวกัน(in the same way).
ตัวอย่างเช่น,
ถึงแม้ว่าต้นไม้ทั้งหลายถูกคิดว่าส่วนใหญ่เป็นเช่นวัตถุอยู่กับที่(trees are as
mostly static objects)ซึ่งมีชีวิตอยู่และตาย(live and die)ค่อนข้างจะถูกคาดการณ์ได้(quite predictably,
ในบางหนทางทั้งหลาย(in some ways)พวกเขาก็ที่จริงแล้วก็เป็นอยู่อย่างซับซ้อนและอย่างฉลาด(actually
complex and intelligent beings).
พวกเขารู้ที่จะสร้างพันธมิตรทั้งหลายซึ่งกันและกัน(form alliances
with each other), เลี้ยงดูอบรม(nurture)ต้นอ่อนอื่น,
เตือนถึงภัยที่กำลังเข้ามาหา(warn other trees of approaching danger), และปรับตัวรับมือต่อการรุกรานทั้งหลาย(adapt to threats).
แล้วพวกเขา, มีบางอย่างของ จิตสำนึก(some kind of
consciousness)ที่มนุษย์อาจจะไม่อาจเข้าใจได้(couldn’t
possibly comprehend)ด้วยไหม?
และนั่นหมายถึงว่า,
ทุกสิ่งที่มีชีวิตดำรงอยู่บนบางอย่างของขนาดหนึ่งของจิตสำนึกไหม(some kind of
scale of consciousness)?
มีนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย(scientists)ที่งานของพวกเขา(whose job)คือการที่จะค้นหาถึง จิตสำนึก(to
search for consciousness).
พวกเขามองหาประสาทสัมพันธ์ ของ
จิตสำนึก(neuronal
correlated of consciousness4)
(หรือ NCC), ซึ่งเป็นระบบกลไกทั้งหลายที่ต่ำที่สุด(the minimum mechanisms)ที่สมองต้องแสดงให้เห็น(the brain has to demonstrate)เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์รับรู้ทางสำนึก(to create a conscious
experience).
ตัวอย่างเช่น,
ถ้าคุณกุมมือกับใครบางคน(hold
hands with someone), จำนวนหนึ่งของประสาททั้งหลาย(a certain
number of neurons)ต้องยิง(have to fire)
หรือเส้นประสาททั้งหลาย(nerves)ต้องสั่นไหว(have to
vibrate)ก่อนที่การกระทำนั้นกลายมาเป็นบางอย่างที่เราได้รู้สึกถึง(before
we’re aware of – เจตสิก/ผัสสะ ไปสู่ เวทนา สัญญา - ผู้แปล).
เรื่องนี้ได้นำนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายบางราย(led some scientists)ไปคิดว่า กุญแจสู่ จิตสำนึก(key to consciousness)อาศัยอยู่ใน(resides in)คลอสตรัม(claustrum5),
แผ่นของ
5 https://www.netinbag.com/th/physiology/what-is-the-claustrum.html
เซลล์ประสาท(a sheet of
neurons)ที่นอนพักอยู่ใต้เยื่อหุ้มสมอง(resting beneath
brain’s cortex).
(จาก
“วิกิพีเดีย”...จิตใจตามทัศนะตะวันตก
จิตปรัชญา (philosophy of mind) ศึกษาประเด็นต่าง
ๆ เช่น เรื่องความรู้สึกตัว (consciousness) และปัญหาจิต-กาย
(mind-body problem) ความสัมพันธ์ระหว่างสมองกับจิตใจเป็นเรื่องท้ายทายทั้งในหลักปรัชญาและหลักวิทยาศาสตร์ เพราะอธิบายได้ยากว่า
การทำงานทางจิตใจ เช่นความคิดหรืออารมณ์ สามารถเกิดในโครงสร้างทางกายภาพเช่นเซลล์ประสาทและไซแนปส์ หรือแม้แต่กลไกทางกายภาพอื่น
ๆ ได้อย่างไร นักปรัชญาชาวเยอรมันก็อทฟรีท ไลบ์นิซ (Gottfried
Leibniz ค.ศ. 1646-1716) ได้กล่าวถึงปัญหานี้ในคำอุปมาที่เรียกว่า Leibniz's
Mill (โรงสีของไลบ์นิซ)
ใคร ๆ ก็จะต้องยอมรับว่า การรับรู้และสิ่งที่อาศัยมันเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้อาศัยหลักกลศาสตร์ คือโดยรูปและการเคลื่อนไหว
เมื่อจินตนาการว่า
มีเครื่องยนตร์ที่วิธีการสร้างมันสามารถทำให้มันคิดได้ รับรู้ทางสัมผัสได้ และเกิดการรับรู้ได้
ก็อาจจินตนาการให้มันใหญ่ขึ้นโดยมีสัดส่วนเหมือนเดิม เพื่อให้เดินเข้าไปดูได้
เหมือนกับเดินเข้าไปในโรงสีลม ถ้าคิดได้เช่นนี้ เมื่อเดินเข้าไปตรวจดูมัน
ก็จะพบเพียงแค่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ขับกันและกัน แต่ก็จะไม่พบอะไร ๆ
ที่สามารถอธิบายการรับรู้ [ว่าเกิดอย่างไร] ได้— ก็อทฟรีท ไลบ์นิซ -
ในผลงาน Monadology (1714)[250]
ความสงสัยว่าจะมีคำอธิบายเชิงกลศาสตร์เกี่ยวกับความคิดได้หรือไม่
ได้ผลักดันให้นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเรอเน เดการ์ต บวกกับนักปรัชญาอื่น ๆ ให้มีแนวคิดแบบทวินิยม
(dualism) คือความเชื่อว่า
จิตใจในเป็นอิสระจากสมองโดยระดับหนึ่ง[251] แต่ก็มีเหตุผลที่ดีเป็นฝ่ายคัดค้านมาตลอด
มีหลักฐานเชิงประสบการณ์ที่ชัดเจนว่า
การจัดแจงทางกายภาพ (เช่นด้วยยา) หรือการบาดเจ็บที่สมอง (เช่นมีรอยโรค) มีผลต่อจิตใจอย่างมีกำลังและลึกซึ้ง[252][253] ในคริสต์ศตวรรษที่ 19
กรณีของนายฟิเนียส์ พี. เกจ ผู้เป็นคนงานทางรถไฟที่ได้รับบาดเจ็บจากแท่งเหล็กขนาดล่ำ
ๆ ที่พุ่งทะลุสมองของเขา ได้ทำให้ทั้งนักวิจัยและคนทั่วไปเชื่อว่า การทำงานทางประชานนั้นเกิดเฉพาะในสมอง[249]
ต่อมาโดยตามแนวคิดนี้ หลักฐานเชิงประสบการณ์จำนวนมากที่แสดงว่า
การทำงานของสมองสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการทำงานทางใจ
ทำให้นักประสาทวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาปัจจุบันโดยมากเป็นนักวัตถุนิยม คือเชื่อว่า ปรากฏการณ์ทางใจจริง ๆ
แล้วเป็นผลของ หรือสามารถลดทอนจนเหลือเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางกายภาพ[254]
....
พุทธศาสนาเถรวาท[แก้]
คัมภีร์พุทธศาสนาได้กล่าวถึงสมองไว้หลายเรื่องรวมทั้ง
·
คัมภีร์สมันตปาสาทิกาซึ่งเป็นอรรถกถาของพระวินัยปิฎก กล่าวถึงความเป็นมาของหมอชีวกโกมารภัจจ์ผู้เป็นแพทย์ประจำของพระพุทธเจ้าและพระเจ้าพิมพิสารไว้ว่า
ได้รักษาเศรษฐีชาวพระนครราชคฤห์ผู้ป่วยปวดศีรษะอยู่ 7 ปีโดยแพทย์อื่น ๆ ไม่สามารถรักษาได้
และรักษาโดย "เปิดรอยประสานกะโหลกศีรษะ นำสัตว์มีชีวิตออกมาสองตัว"
แล้วให้นอนพัก 3 สัปดาห์ ได้ทรัพย์จากเศรษฐี 100,000 กหาปณะ และให้เศรษฐีทูลถวายทรัพย์แด่พระเจ้าพิมพิสารอีก 100,000
กหาปณะ[266]
·
คัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งจัดเป็นคัมภีร์หลักในเรื่องการปฏิบัติในพุทธศาสนา
ได้กล่าวถึงสมองในส่วนสมาธินิเทศ (อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ) กายคตาสติ
เพื่อการพิจารณาให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลไว้ว่า "คำว่า มตฺถลุงฺคํ - มันในสมอง ได้แก่ เนื้อเยื่ออันตั้งอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ มันในสมองนั้น โดยสี
ขาวดังสีดอกเห็ด แม้จะกล่าวว่า สีดังนมสดที่ไม่สดแล้ว แต่ยังไม่ถึงเป็นนมส้ม
ดังนี้ก็ควร โดยสัณฐาน มีสัณฐานตามโอกาส [ที่ตั้งอยู่] โดยทิศ เกิดในทิศเบื้องบน
โดยโอกาส อาศัยแนวประสาน ๔ แนว ตั้งรวมกันอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ เหมือนก้อนแป้ง ๔
ก้อน ที่คนวางรวมกันอยู่ โดยตัดตอน
กำหนดตัดด้วยพื้นด้านในกะโหลกศีรษะและด้วยส่วนแห่งมันสมอง นี้เป็นสภาคปริจเฉท ส่วนวิสภาคปริจเฉท ก็เป็นเช่นเดียวกับผมนั่นแล"
ภาคส่วนสำคัญนี้(this vital region)เชื่อมต่อ(connects)กับทุกส่วนอื่นของเยื่อหุ้มสมอง(to every other part of the
cortex)และมีประสิทธิผล(effectively)
“เปิดสว่าง(light up)” เมื่อใดก็ตามที่เกือบจะสิ่งใดได้
“บังเกิดขึ้น(happens)”.
ในบางครั้งมันถูกคิดว่า(it’s sometimes thought of)เป็นบางสิ่ง(something)เหมือน วาทยกร(a conductor)สำหรับสมองของมนุษย์และร่างกาย(for
the human brain and body), เปลี่ยนรูปแบบทั้งหลาย(patterns)และลำดับการณ์ทั้งหลาย(sequences)เข้าไปในสิ่งทั้งหลายที่เราประสบรับรู้(into
things we experience), รู้สึก(feel - เวทนา)และ
รู้(know – สัญญา).
แต่ก็ไม่อย่างแน่นอนเลยว่า(by no means), สิ่งเป็นที่ได้ยอมรับอย่างเป็นสากลในเจตคติ/มุมมองนี้(universally
accepted)กระนั้น.
ข้อถกเถียงอื่นอีกคือ, จิตสำนึกนั้น(that consciousness)ที่จริงแล้วถูกสร้างสรรค์ขึ้น(is
actually created)โดยภาคส่วนต่างๆหลายเท่านักของสมอง(actually
created by multiple regions of the brain)ที่ทำงานร่วมด้วยกัน(that
work together).
ตัวอย่างเช่น, ในปี 2016,
กลุ่มทำงานที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญ ไมเคิล ด. ฟอกซ์(Michael D. Fox)ค้นพบว่า(found that)สิ่งเล็ก, กว้าง 2 มิลลิเมตร(a small, two-millimetre-wide point)เป็นจุดอยู่ที่
ก้านสมอง(brainstem)ที่เชื่อมต่อกับ(connected to)อีกสองอื่น, ที่เป็นพื้นที่สำคัญใหญ่หลวงในเยื่อหุ้มสมอง(two
other, hugely important areas in the cortex); ในส่วนแตกต่างทั้งหลายของสมอง(in different parts of the brain).
ทั้งสองภาคส่วนบ้านของเส้นประสาททั้งหลายนี้(both regions house neurons)ถูกเรียกว่าเซลล์ประสาท
ฟอน อีโคโนโม(Von Economo neurons6 – เซลล์ประสาทชั้นพิเศษ), ถูกคิดว่าเป็น
6 https://th.youthministryinitiative.org/von-economo-neurons-what-are-they-where-are-they-located-363
แก่นสำคัญสำหรับ จิตสำนึก(to be essential foe consciousness), และ ฟอกซ์(Fox)และกลุ่มทำงานของเขา(his team)ค้นพบว่า(found
that), ในบางกรณี(in some cases),
เป็นคือภาคส่วนเหล่านี้(these regions)ที่ถูกทำให้ยุ่งเหยิง(were
disrupted)เมื่อผู้ป่วย(a patient)เข้าสู่ภาวะการเป็นเยี่ยงผัก(enters
a vegetative state).
อย่างชัดเจน(clearly), ถึงกระนั้นก็ตาม(though), ไม่ว่ามันจะเป็น การผสมผสาน ของ ภาคส่วนทั้งหมดของเซลล์ประสาททั้งหลายที่แตกต่างกัน(an
amalgamation of all different neuron-regions) หรือว่ามันเป็น การกำหนด/ตัดสินยุติเป็นที่สัมบูรณ์สุด
โดย คลอสตรัม(ultimately determined by the Claustrum7), ทัศนคติทางวิทยาศาสตร์(the scientific stance)ก็พยายามที่จะตั้งเสียงกำหนด
จิตสำนึก(to pitch consciousness)ว่าเป็นเช่นผลผลิตหนึ่งของสมอง(a
product of the brain).
7 https://hmong.in.th/wiki/Claustrum
ไม่ว่านั่นคือความจริงหรือไม่(whether that’s true or not),
ถ้ามนุษยชาติ(humanity)ได้จัดการที่มัดจิตสำนึกเอาไว้อยู่กับส่วนจำเพาะหรือภาคส่วนของร่างกายของเราทั้งหลาย(does
manage to tie down consciousness to specific part or
region of our bodies),
แล้วเราก็สามารถทดสอบทางทฤษฎีได้อย่างแน่ชัด(could then theoretically test
exactly)ว่ามันคืออะไร(what it is): โดยการให้มันกับสิ่งปัญญาประดิษฐ์(give it to artificial beings).
ถ้าเราสามารถกระตุ้นจิตเติมเต็มหุ่นยนต์ทั้งหลายด้วยจิตสำนึก(could imbue robots with consciousness) - จิตสำนึกของแท้(a genuine consciousness)
- เช่นนั้นแล้วเราก็จะได้พิสูจน์ว่า(we will have proven that)มันมีอยู่แท้จริงในโลกทางกายภาพ(it does indeed exist in the
physical world).
จนถึงตอนนี้, กระนั้น,
แม้กระทั่งจุดหมายสูงสุดของเรา(our loftiest aim)หรือยิ่งไปกว่ายังการเขียนชุดคำสั่งอัลกอริธึ่มนั่น(more
towards programming an algorithm6 that), ในสาระสำคัญ(in
essence), บรรจุจิตวิญญาณ(a soul – อัตตา/อาตมัน); หรือปรากฏว่าเป็น มีสติสำนึก(appear to be conscious).
แต่มีการเห็นด้วยเต็มไปหมด(plenty agree)ว่า
นี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน(this isn’t same thing…)...และเต็มยิ่งไปกว่าคือโต้แย้งว่าจิตสำนึกเยี่ยงหุ่นยนต์(plenty
more argue that robotic consciousness)ไม่มีวันที่จะสามารถพิสูจน์ได้(could
never even be proven).
หนึ่งความโต้แย้งที่โดดเด่นต่อพวกเขาคือ(one notable argument against them is) “ห้อง-จีน”(the “Chinese Room”,
การทดลองความคิดที่ถูกเสนอโดย จอห์น ซีเริล(thought experiment
proposed by John Searle).
อย่างง่ายๆ(simplified), มันก็เป็นไปแบบนี้(it goes like
this): นักบรรยายชาวอังกฤษผู้หนึ่งอยู่ในห้องที่ถูกล็อคปิดไว้(an
English speaker is in a locked room)พร้อมด้วยชุดคำแนะนำทั้งหลายหนึ่งที่ไม่รู้จักในภาษาจีน(with
a set of unknown instructions in Chinese)และสัญลักษณ์แบบจีนอีกกลุ่มหนึ่ง(a
batch of Chinese symbols)ที่จะเลือกเอามาได้(to choose from).
นักบรรยายชาวอังกฤษนั้น(that English speaker)ก็เลยผ่านส่งคำถามหนึ่ง(เป็นภาษาจีน)ที่พวกเขาจำเป็นต้องสร้างคำตอบนั้น(need
to construct an answer to)ออกมา(เป็นภาษาจีนอีกด้วยเช่นกัน).
การอุปโลกน์ของซีเริล(Searle’s set up)แสดงให้เห็นว่า,
ในที่สุดแล้ว(eventually),
โดยการประยุกต์จากคำสอนที่ชัดเจนถูกต้องแล้ว(by applying the precise
instructions), นักบรรยายชาวอังกฤษ(the English speaker)ก็สามารถที่จะสร้างการเขียนภาษาจีนที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้(would be
able to produce Chinese writing)(และคำตอบที่ถูกต้องต่อคำถามนั้น)โดยปราศจากความเข้าใจถึงมันเลยแต่อย่างใด(without
understanding any of it).
ทั้งหมดของที่ซึ่งจะ -
อ้างอิงจากซีเริล(accord to Searle) – เป็นที่ไม่แตกต่างจากถ้าเครื่องจักรกลได้ถูกอ้างว่ามีจิตสำนึก(no
different to if a machine room ever claimed to have consciousness).
มันแท้จริงจะเป็นเพียงแค่ได้ทำตามคำแนะนำทั้งหลายที่ชัดเจนเที่ยงตรงมาก(ชุดคำสั่ง/โปรแกรม)(would actually only ever be following a very
precise instructions(a program)ในการกระทำหรือประพฤติอย่างไร(on
how to act or behave)ที่จะทำมัน(to make it)ดูเหมือนเป็นหนทางนี้(seem
this way).
สิ่งสำคัญของ คลอสตรัม(the importance of Claustrum),
สิ่งที่มีความหมายของเส้นประสาท ฟอน อีโคโนโม(the significance of
Von Economo neurons)และการโต้เถียง(debate)กับที่ว่าได้หรือไม่ที่
จิตสำนึกแท้จริง(a true consciousness)สามารถถูกวิศวกรรมเชิงระดิษฐ์(can
be artificially engineered)เป็นที่มีเหตุผลทั้งหมด(are all
valid)ถ้าคุณลงนามต่อครึ่งหนึ่งของปัญหาเรื่อง “จิต-กาย”นั้น(subscribe
to one half of the “mind-body” problem), กระนั้น - ว่าจิตสำนึก(consciousness)ดำรงอยู่(exists)อยู่ในโลกของร่างกายภาพ(in
the physical world).
ถ้าเราเข้าใจมันว่าเป็นเช่น
โครงสร้างไร้-กายภาพ(a non-physical construct), แล้วไม่มีอะไร(then
nothing)(ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์(robots),
มนุษย์(humans), หรืออะไรอื่นใด(or anything else)สามารถครอบครองมันได้ในความรู้สึกทั่วไป(could ever possess it in
typical sense).
มันอาจจะเป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่าจะพูดว่าเราเข้าถึงมัน(perhaps be more accurate to say that we access
it). หรือใช้มัน(or use it).
เรเน่ เดสการ์ตสิ์(René Descartes8) เป็นนักปรัชญาแถวหน้าที่มักถูกโต้แย้งได้อยู่เสมอ(was arguably the foremost philosopher)ในการที่จัดวางลงไปว่า(to posit that)ว่าจิตสำนึก(consciousness)นั้นไม่ได้มีอยู่ในโลกกายภาพ(doesn’t exist in the physical world) - ชี้แนะว่าเรานั้นสามารถทดแทนด้วยการเข้าถึงมันได้ผ่านต่อไพเนียลในสมอง(instead
able to access it through the pineal gland in the brain).
ที่จริงแล้ว(in fact), เหตุผลของเดสการ์ตสิ์(Descartes’s
reasoning), ปริศนายากจะแก้ได้นี้(the conundrum)สามารถมารถที่จะอย่างที่สุดถูกเปิดหัวของมัน(be totally turned
on its head); เขาที่แน่ใจว่าเขามีจิตใจ(a
mind)แต่ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเขามีร่างกาย(but
couldn’t be sure he had a body).
สำหรับเขา(for him), ร่างกายนั้น(the
body)สามารถแทบที่จะเป็นผลผลิตของฝัน(couls merely be
the product of dream) หรือ มายา(or illusion).
และเดสการ์ตสิ์(Descartes)ไม่ใช่เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เสนอต่อมไพเนียลมีพลังลี้ลับอันทรงประสิทธิผล(to
propose the pineal gland)มี(has effectively mystical
powers)อีกด้วย.
ส่วนเล็กๆมากแห่งสมองทั้งหลายทั้งหมดของเรา(a very small part of our overall brains)ถูกเชื่อมโยงกับ(was linked with)
-ในท่ามกลางสิ่งอื่นทั้งหลาย(among other things) –
การควบคุมบังคับของการนอน(the regulation of sleep), ที่อื่นๆ(elsewhere)มันถูกตีตราประทับว่าคือ “ตาที่สาม”(the third eye), บอกกันว่าเป็นแก่นแท้ที่จะทำการไขเปิดออก(be essential to
unlocking)เป็นประสบการณ์ของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง(the
real human experience);
และได้คิดกันกระทั่งถึงเป็นความสามารถของการที่จะมองเห็น “โลกจริง”(true
world), และการค้นพบการติดต่อที่ลึกยิ่งกว่ากับพระเจ้า(discovering
a deeper connection with God) - โดยผู้ที่เชื่อเป็นพิเศษ(who
particular believe)ในพลังของมัน(in its power).
หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์(the scientific evidence)สำหรับการอ้างที่สูงส่งเช่นนั้น(for
such lofty claims)กำลังเป็นที่ขาดแคลน(is lacking), แต่สถานที่ตั้งของต่อมไพเนียล(the Pineal gland’s place)ในมุมแน่ชัดทั้งหลายของหลักปรัชญาได้ถูกจัดขึ้น(in certain
corners of philosophy is set).
สำหรับนักปรัชญาทั้งหลาย(for philosophers)และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย(scientists), กระนั้น, อะไรคือจิตสำนึก(what is consciousness)และที่ไหนที่มันมาจาก(where it comes from)ต่างก็ยังคงเป็นสองหัวข้อที่ยกขึ้นมาอย่างมากยิ่งสำหรับการโต้วาที(are
still two topics very much up for debate)!
ความเข้าใจของเรา(our understanding)ได้กำลังประบปรุงให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ(is
steadily improving), และเทคโนโลยีทั้งหลายของเรา(our
technologies)ก็กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว(are rapidly
progressing), ดังนั้นเราสามารถในสักวันหนึ่งที่จะไปถึงจุด(we
could one day reach the point)ที่ซึ่งจิตสำนึก(consciousness)อย่างเป็นจริงที่จะปรากฏแน่ชัดได้(identifiable),
วัดขนาดได้(measurable), เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้จริงๆ(truly
knowable thing).
สำหรับบางราย(for some),
คำตอบนี้อาจจะตามจริงแล้วมาจากฟิสิกส์ควอนตัม(quantum physics)(เจาะลึกลงเข้าไปในชิ้นเศษเล็กจิ๋วที่สุดของสิ่งมีชีวิต – drilling
down into the tiniest fragments of existence);อสำหรับคนอื่นทั้งหลาย(for others),
เรารู้แต่เพียงมากยิ่งขึ้นคนเท่านั้นเกี่ยวกับ(only know more about)หรือจิตใจทั้งหลายของเราเอง(or own minds)เมื่อเราทำสำเนาซ้ำพวกเขาเข้าไปในหุ่นยนต์ทั้งหลาย(replicate
them into robots); และแล้วก็มีที่หนุนหลังแบบเดวการ์ตสิ์เหล่านั้น(those
backing Descartes), เขวี้ยงโยนสำนึกของตัวตน(pitching our
sense of self)เป็นเช่นสิ่งนามธรรมทั้งเพ(a wholly abstract
thing).
มันเป็นงานเชิงวิทยาศาสตร์(scientific), ปรัชญา(philosophical)และจิตวิญญาณ(spiritual)ที่ทำอยู่อย่างก้าวหน้า(work
in progress), แต่นั่นคือทั้งหมดที่เรารู้(that’s all we
know)เกี่ยวกับว่า จิตสำนึก มาจากไหน(where consciousness
comes from).
คุณคิดว่าอย่างไรหรือ?
มีอะไรอื่นที่เราพลาดไปไหม? ให้เรารู้นั้นด้วยคำติชม(comments)ที่ด้านล้างของคลิปนี้.
ตรวจดูคลิปอื่นทั้งหลายของเราและกดกระดิ่งและกดsubscribeเพื่อที่จะได้ไม่พลาดเนื้อหาใหม่อีกของเรา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น